หากเราต้องการให้บทความในบล็อกของเราแสดงเนื้อหาสั้น ๆ ในหน้าแรก เพื่อน ๆ คงเคยเห็นบางบล็อก แสดงคำว่า read more ของบทความนั้น ๆ การที่จะใส่ read more ได้นั้น เราจำเป็นต้องเข้าไปแก้โค๊ดตรงส่วนของ HTML ซึ่งก็ต้องระมัดระวังกันสักหน่อย เพราะหากผิดพลาดไป theme หรือ template ของเราอาจจะเกิดการเสียหายได้ แต่ก็มีิวิธีป้องกันและกลับมาใช้ theme เดิมของเราได้ งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า...

1. หลังจากที่เรา Log in เพื่อเข้าไปใช้งานบล็อก ให้คลิ๊กที่ รูปแบบ (Layout) และคลิ๊กที่ แก้ไข HTML (Edit HTML)

2. เมื่อเข้ามาสู่ หน้าที่เราสามารถทำการแก้ไข HTML ให้ทำการ save ตรงข้อความ "ก่อนที่จะแก้ไขแม่แบบของคุณ คุณอาจต้องบันทึกสำเนาไว้" ให้เรา กด ดาวน์โหลดแม่แบบฉบับเดิม (Download Full Template) แค่นี้เราก็เก็บแม่แบบเดิมเอาไว้ได้แล้ว เพื่อเป็นการป้องกัน theme หรือ template เสียหาย ดังแสดงในรูป

3. เมื่อโหลดเสร็จแล้วให้ คลิ๊กที่ ขยายแม่แบบเครื่องมือ (Expand Widget Templates) เพื่อทำการขยาย template ดังแสดงในรูปข้างบน
4. หลังจากนั้น ให้กด Ctrl+F พร้อมกัน ระบบจะเรียกช่องเล็กๆ ขึ้นมา เพื่อให้เราค้นหาตำแหน่งที่เราต้องการจะใส่โค๊ด /head ให้เราใส่ ลงไปในช่องเล็กๆ นั้น (โค๊ดก่อน /head บาง template โค๊ดชื่อ /script หรือ อาจเป็นโค๊ดชื่อ /b:skin) ดังแสดงในรูป


5. ให้ใส่ ข้อความข้างล่างนี้ เหนือ /head

*style>
*b:if cond='data:blog.pageType =="item"> (ตรง item ให้พิมพ์ข้อความเหมือนรูปที่แสดงข้างล่าง)
span.fullpost {display:inline;}

*b:else/>

span.fullpost {display:none;}
*/b:if>
*/style>
หมายเหตุ เครื่องหมาย * แทน เครื่องหมาย < (ถ้าเพื่อน ๆ ใส่ในโค๊ด html ให้ใส่ < แทน * ) ดังแสดงในรูป
6. ให้กด Ctrl+F พร้อมกัน จะมีช่องให้ค้นหา โดยหาคำว่า *data:post.body/> (มันอาจจะหายากสักนิดพยายามหาให้เจอ)
หมายเหตุ บาง template อาจ ขึ้นต้นด้วย *div class='post-body entry-content'

ใส่ข้อความข้างล่างนี้

*b:if cond='data:blog.pageType != "item"'>
*a expr:href='data:post.url' target='_blank'>Read more!*/a>

*/b:if>

ดังแสดงในรูป

หมายเหตุ เครื่องหมาย * แทน เครื่องหมาย < (ถ้าเพื่อน ๆ ใส่ในโค๊ด html ให้ใส่ < แทน * )

7. ไปที่ การตั้งค่า => การจัดรูปแบบ (Setting => Formatting) เลื่อนลงมาล่างสุดจะเห็น แม่แบบบทความ (Post Template) ให้พิมพ์ข้อความข้างล่างนี่ใส่เข้าไปแล้วเซฟค่ะ

*span class="fullpost">

*/span>
ดังรูป
เมื่อ ทำการเซฟเรียบร้อยแล้ว การจัดรูปแบบดังกล่าวก็จะถูกบันทึกไว้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพิมพ์เนื้อหา ให้เราคลิ๊กมาที่ แก้ไข Html เราถึงจะเห็น โค๊ดที่ว่านี้


โดยใส่ข้อความเริ่มต้นเหนือ *span class="fullpost">
แล้วใส่เนื้อหาที่เหลือเหนือ */span>

ยกตัวอย่าง หากเราต้องการให้บทความในบล็อกของเราแสดงเนื้อหาสั้น ๆ ในหน้าแรก เพื่อน ๆ คงเคยเห็นบางบล็อก แสดงคำว่า read more หรืออ่านต่อ ตรงมุมล่างขวาของบทความนั้น ๆ *span class="fullpost"> การที่เราจะมี read more ได้นั้น เราจำเป็นต้องเข้าไปแก้โค๊ดตรงส่วนของ HTML ซึ่งก็ต้องระมัดระวังกันสักหน่อย เพราะหากผิดพลาดไป theme หรือ templateง ของอาจจะเกิดการเสียหายได้ แต่ก็มีิวิธีป้องกันให้และกลับมาใช้ theme เดิมของเราได้ งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า...(พิมพ์จนกว่าจะจบเนื้อหา) */span>

เป็นอันว่าจบขั้นตอนเพียงเท่านี้ หวังว่าคงทำได้กันนะค่ะ ถ้าไม่เข้าใจก็ถามมาได้ค่ะ

เขียนโดย paphada วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จากการไปเยี่ยมชม blog ต่าง ๆ ทำไม บล็อกเค้าสวยกันจัง อยากเปลี่ยน Template blogger บ้าง หลังจากนั้นก็ search หาวิธีเปลี่ยน Template blogger ได้ความรู้มาเยอะแต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ด้วยความที่เป็นมือใหม่ กว่าจะรู้วิธีทำยากอยู่เหมือนกัน เพราะ Template ของ blogger มีทั้งแบบเก่า และแบบใหม่ อย่างไงนะหรือ คือ ระบบ Template ของ Blogger จะมีอยู่ 2 แบบ

1. แบบใหม่ - ระบบ Template จะเป็นลักษณะแบบ layout
ถ้าเป็นแบบใหม่จะขึ้นต้นด้วย xml
โค๊ด: ?xml version="1.0" encoding="UTF-8" ?

2. แบบเก่า - ระบบ Template จะเป็นลักษณะแบบ html ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอง (ยากสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่อง html)
ถ้าเป็นแบบเก่าจะขึ้นต้นด้วย doctype
โค๊ด: !DOCTYPE html PUBLIC "-//W3C//DTD XHTML 1.0 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/xhtml1/DTD/xhtml1-transitional.dtd"



ดังนั้นเราต้องดูก่อนว่า Template ที่เราใช้อยู่ตอนนี้เป็น Template ระบบแบบเก่า หรือระบบแบบใหม่ เมื่อเข้าใจตามนี้แล้วก็ลงมือเริ่มปฎิบัติการเปลี่ยน Template Blogger กันเลยดีกว่า

1. ในที่นี้ขออธิบายถึงระบบแบบใหม่ (ขึ้นต้นโค๊ดด้วย xml)
2. เริ่มต้นด้วยการ download template มาเก็บไว้ในเครื่องของเรา โดยสามารถ search หา จาก google ด้วยคำว่า free blogger templates
3. เมื่อผลจากการ search ปรากฏขึ้นมาแล้ว จะเห็นว่ามีเว็บ free template มาให้เราเลือกมากมาย (ขอแนะนำ http://btemplates.com) ก็เลือกเอาตามใจชอบ ได้แบบที่ชอบแล้วก็จัดการ download เลย ซึ่งไฟล์ template ที่ได้มาจะเป็นฟอร์แมท xml (สำหรับคนที่ไม่ถนัด html แนะนำว่าควรจะเป็นแบบระบบใหม่ เพราะว่าเป็นแบบ layout จัดการแก้ไขง่าย)
4. จาก เมนูของ blogger ให้เราเข้า รูปแบบ->แก้ไข้ HTML ให้เราทำการเก็บแม่แบบของเราบันทึกสำเนาไว้ ดาวน์โหลดแม่แบบฉบับเต็ม เดิมลงคอมพิวเตอร์เรา เผื่อผิดพลาดเอาไว้ก่อน โดยคลิ๊ก ดาวน์โหลดแม่แบบฉบับเต็ม
5. มาถึงขั้นตอนสำคัญ จากเมนูเดิม แก้ไข HTML ทำการ อัปโหลดแม่แบบจากไฟล์ในฮาร์ดไดรฟ์ของคุณ:............. กดปุ่ม Browse แล้วให้เลือกไฟล์ xml ที่ได้จากขั้นตอนที่ 3 (แตก zip ให้เรียบร้อย แล้วเอาเฉพาะไฟล์ที่ลงท้ายด้วย .xml) มาใส่ ทำการคลิ๊กเมาท์ อัปโหลดไฟล์ขึ้นไป จะมีข้อความขึ้นมาว่ามีข้อมูลบางอย่างที่เคยทำไว้หายไป ก็ไม่ต้องสนใจ กดตกลง แค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ คงไม่ยากเกินไปนะค่ะ แต่ถ้ายังงง ๆ ก็ค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ทำค่ะ

6. ตอนนี้ก็มาถึงเวลาที่จะได้เห็นผลงานของตัวเองซะที ให้กดดูที่ แสดงตัวอย่างก่อน เพื่อดูว่าได้ผลงานออกมาอย่างที่เราต้องการหรือเปล่า ถ้าออกมาได้ดังใจต้องการ ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว (ถ้าไม่ชอบใจก็ไป download มาใหม่) ถ้าชอบ templat ที่ load มา ก็กดบันทึกแม่แบบ ให้เลือก กด ดูบล็อก จากแถบสีเหลืองที่ blogger แต่ถ้าผิดพลาด มันแสดงผล Error ออกมา ใจเย็น ๆ แล้วลองทบทวนวิธีทำใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็อัปโหลดแม่แบบเดิมขึ้นไปแทน

หมายเหตุ สำหรับระบบแบบเก่า ที่โค๊ดขึ้นต้นด้วย DOCTYPE สามารถ copy และ paste โค้ด template มาใส่้ได้เลย
แต่ถ้าเป็นระบบแบบใหม่ แล้วอยากกลับมาใช้ระบบแบบเก่า วิธีเปลี่ยนคือ คลิ๊กที่ เปลี่ยนกลับเป็นแม่แบบดั้งเดิม (Revert to Classic Template) จะอยู่มุมด้านซ้ายล่างของหน้า Edit HTML แล้วถึงจะสามารถ copy และ paste โค้ด templateมาใส่้ได้

เป็นอย่างไรบ้างค่ะ ได้หน้าตา template blogger ที่ต้องการกันหรือเปล่า จากการใช้ template blogger ที่ได้จากการดาวน์โหลดมาใช้ฟรี ถึงแม้หน้าตาจะสวยขึ้น แต่ลูกเล่นบางอย่างเราจะปรับแก้ยาก เพราะว่าถ้าอยากได้ดังใจ ต้องเข้าไปแก้โค๊ด html ถึงตอนนี้แล้วทำได้ไม่ได้อย่างไรแสดงความเห็นกันได้นะค่ะ

เขียนโดย paphada วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552


หัวข้อ สร้างรายได้ กับ ทำงาน คิดว่าความหมายน่าจะแยกออกจากกันได้ เพราะงานบางงานทำก็ไม่เกิดรายได้ เช่นทำงานเพื่อการกุศล งานช่วยเหลือโลกของเรา เช่นรณรงค์ภาวะโลกร้อน (ดูยิ่งใหญ่ดีจัง....) แต่การสร้างรายได้ การมีเงิน คิดว่าทุกคนก็ต้องการ
เงินไม่สำคัญที่สุด แต่ก็จำเป็นมาก ๆ (อยากรวยอย่างเค้าดูสักที ว่ามันจะเป็นอย่างไร หุหุ) ถ้าเช่นนั้นเรามาดูว่าคนที่รวยติดอันดับโลก มีเงินกันอยู่เท่าไหร่ (ส่วนใครทำอะไรแล้วรวยเดี๋ยวจะหาข้อมูลมาให้ ตอนนี้ขอนั่งทำใจอิจฉาพวกเค้าก่อน เฮ้อ! แต่ถ้ามีความสุขและอยู่อย่างพอเพียง ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องไปอิจฉาใครแล้ว ..คิดเองตอบเอง..)

Bill Gates ตกบังลังก์ผู้ที่รวยที่สุดในโลก ในที่สุดก็มีผู้พิชิตเอาสถิติใหม่ไปครอง ด้วย ทรัพย์สินจำนวน $62 Billion! (62 พันล้านเหรียญสหรัฐ) โดยเขาเป็น CEO ของ Berkshire Hathaway เขามีนามว่า Warren Buffet วัย 77 ปี ชาวอเมริกัน ในขณะที่ Bill Gates วัย 52 ปี ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 3 ของโลกไปแล้วคับ เป็นเพียง 1 ใน 2 คนชาวอเมริกัน ที่ติดอันดับ 1-10 ของโลก

1. Warren Buffett วัย 77 ปี ชาว สหรัฐอเมริกา ทรัพย์สิน 62 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO Berkshire Hathaway
2. Carlos Slim Helu' และครอบครัว วัย 68 ปี ชาว เม็กซิโก ทรัพย์สิน 60 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO Telecom industry
3. Bill Gates วัย 52 ปี ชาว สหรัฐอเมริกา ทรัพย์สิน 58 พันล้านเหรียญสหรัฐ co-founders of Microsoft

4. Lakshmi Mittal วัย 57 ปี ชาว อินเดีย ทรัพย์สิน 45 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO อุตสาหกรรมด้านโลหะ

5. Mukesh Ambani วัย 50 ปี ชาว อินเดีย ทรัพย์สิน 43 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO ของ Petrochemicals
6. Anil Ambani วัย 48 ปี ชาว อินเดีย ทรัพย์สิน 42 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO ของ Diversified
investmenst

7. Ingvar Kamprad และครอบครัว วัย 81 ปี ชาว สวีเดน ทรัพย์สิน 31 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO ของ Ikea

8. K.P. Singh วัย 76 ปี ชาว อินเดีย ทรัพย์สิน 30 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO ของ Real Estate

9. Oleg Deripaska วัย 40 ปี ชาว รัสเซีย ทรัพย์สิน 28 พันล้านเหรียญสหรัฐ CEO ของอุตสาหกรรมด้านอลูมีเนียม
10. Karl Albrecht วัย 88 ปี ชาว เยอรมันนี ทรัพย์สิน 27 พันล้านเหรียญสหรัฐ เจ้าของ Aldi supermarkets


บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ

- การเปิดแฟรน ไชส์ โดยบริษัทลงทุนให้ฟรี วิธีการ
- สร้างรายได้กับโอกาสทางธุรกิจอีคอสเวย์
- vdo บริษัทและการตลาด อีคอสเวย์



เขียนโดย paphada วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จะเริ่มอย่างไรดีกับหัวข้อนี้ เรื่องของการงานมีมากมายเหลือเกิน ต่างคนก็ต่างสไตส์ ยึดความเป็นตัวตนของตนเอง ตามประสบการณ์ ตามการเรียนรู้ และการรับรู้ งั้นขอเริ่มด้วยคำแนะนำของท่านพระมหาสมปอง ตาลปุตโต ก่อนละกัน........


อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย

เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน

ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน
ซึ่ง จากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มี ความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
โดยจะว่า ไปแล้ว บริษัทก็เหมือ นกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่ง! รถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า ' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ ' ( แล้วไป)

อาตมา จึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)

ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน! ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ

เพราะ หลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น

อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า

งานมีผลตอบแทน 2 ชั้นด้วยกัน

ผล ตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว
แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง

หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

เจริญพ! ร...

เขียนโดย paphada


1. สาวๆ อาจไม่อยากแต่งหน้าแข่งกับอุณหภูมิที่สูงปรี๊ด ทำให้เทรนด์การแต่งหน้าบางใสเน้นเผยผิวที่แท้จริงมาแรงในช่วงนี้

2. ช่วงนี้ถ้าได้ยินคำว่า "แต่งหน้านู้ด" จำไว้เลยว่า สาวผิวขาวควรใช้เฉดสีชมพูช่วยให้ผิวดูขาวเปล่งปลั่ง ส่วนสาวผิวสีให้ใช้เสน่ห์ของประกายทองเพิ่มความสดใสยิ่งขึ้น
3. สาวไทยจะแต่งหน้านู้ดอาจไม่มั่นใจ เพราะใบหน้าดูไม่ค่อยมีมิติเหมือนสาวฝรั่ง ลองหาแป้งชิมเมอร์สีอ่อนมาไล้บริเวณสันจมูก กลางหน้าผาก และปลายคาง ช่วยเน้นโครงหน้าให้ชัดเจนขึ้นได้

4. "ลิปสติกสีนู้ด" ของคนผิวขาว หมายถึง สีเบจอมชมพูอ่อนหรือเจือส้มแอปริคอทนิดๆ (ทาแล้วต้องไม่ดูซีดจนเหมือนคนป่วย) หากสีผิวเข้มปานกลางก็เพิ่มโทนสีน้ำตาลปนชมพูขึ้นมาอีกระดับ แล้วเติมกลอสใสทับให้ดูสว่างสดใส สุดท้ายสาวผิวเข้มใช้สีน้ำตาลอมส้มผสมชิมเมอร์ที่สร้างมิติให้เรียวปากอิ่ม เอิบและเซ็กซี่ราวกับสาวละติน

5. ถ้าตากแดดจนริมฝีปากคล้ำเกินงาม ก่อนทาลิปสติกให้ลงคอนซีลเลอร์หรือรองพื้นบนริมฝีปาก เพื่อปรับสีผิวให้อ่อนลง แล้วค่อยบรรเลงสีตามใจชอบ

6. แต่งตัวสีสันฉูดฉาดรับร้อนแล้ว สีสันของเมคอัพก็ไม่จำเป็นต้องจัดจ้าน โดยเฉพาะดวงตา แค่ไล้อายแชโดว์สีขาวหรือสีพาสเทลเป็นละอองบางๆทั่วเปลือกตา แล้วเพิ่มความโดดเด่นของสีที่บริเวณหัวตา ปิดท้ายด้วยการปัดมาสคาราสีดำทั้งขนตาบนและล่าง แค่นี้ก็ช่วยให้ดวงตาดูกลมโตขึ้นอีกเยอะ

7. เดี๋ยวนี้แป้งฝุ่นแบรนด์ไหนๆ ก็ขอผสมมิเนอร์รัลไว้ก่อน เพราะเนื้อแป้งจะบางเบานวลเนียนเป็นธรรมชาติ แถมทำให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสขึ้นโดยเฉพาะเวลาต้องแสงแดด

8. แสงแดดแผดเผาอาจทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำระหว่างวัน ลองใช้เบสรองพื้นก่อนแต่งหน้าที่ผสมประกายมุก ช่วยให้สีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอและปรับผิวให้แลดูเปล่งปลั่ง แถมใช้แล้วแป้งยังติดทนอีกด้วย

9. หยิบยืมไอเดียสีสันจากธรรมชาติอย่าง ฟ้าของท้องทะเล ขาวนวลราวกับเปลือกหอย หรือสีทองยามพระอาทิตย์ตก มาเป็นโทนสีสันเมคอัพของสาวๆริมหาดกัน

10. ร้อนขนาดนี้คงไม่อยากได้แป้งที่หนาเตอะ ให้ใช้แปรงขนาดใหญ่แตะแป้งฝุ่นเล็กน้อย แล้ววนแปรงลงบนฝาของตลับแป้งเพื่อให้เนื้อติดแปรงในปริมาณที่พอเหมาะ จากนั้นนำมาปัดผิวหน้าใบลักษณะวนเป็นวงกลม จะช่วยให้แป้งติดผิวได้ดีและไม่หนาเกินไป

11. เตรียมเครื่องสำอางไปทะเล แนะนำว่าให้หาเครื่องสำอางแบบสารพัดประโยชน์ชนิดที่ทาได้ทั้งแก้ม ตา และปาก จะได้พกความสวยไปได้ทุกที่

12. เบื่อผิวขาวแบบเดิมๆ ลองเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการหาแอร์บลัชมาสเปรย์เปลี่ยนสีผิวเป็นสีแทน เซ็กซี่ โดยไม่ต้องไปอาบแดดให้ผิวเสียกันบ้างดีกว่า

13. ใบหน้าเป็นประกายด้วยบรอนเซอร์ จะกลับมาเสมอในทุกๆ หน้า หลังจากแต่งหน้าเสร็จ เพียงใช้แปรงขนาดใหญ่ปัดบรอนเซอร์บริเวณจุดที่แสงตกกระทบ ได้แก่ หน้าผาก โหนกแก้ม คาง ปลายจมูก อาจปัดเลยไปถึงเนินอกด้วยก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์ดูเซ็กซี่

14. เลือกอย่างใดเพียงอย่างหนึ่งเท่านั้นว่า ต้องการให้หน้าสว่างด้วยประกายบรอนเซอร์ หรือจะเน้นเฉพาะตาด้วยการไล้อายแชโดว์สีทองหรือสีสว่าง เพราะถ้าทำ 2 อย่างพร้อมกันจะหาจุดเด่นบนใบหน้าไม่เจอ

15. ริมฝีปากฉ่ำระเรื่อเอาท์ดอร์เหมือนสาวสุขภาพดีด้วยลิปกลอสสีแดงกุหลาบ เคล็ดลับอยู่ที่การทาลิปกลอสบางๆให้ทั่วริมฝีปาก แล้วทาทับบริเวณกึ่งกลางริมฝีปากอีกครั้ง

16. แก้มแดงเหมือนหญิงสาวที่กำลังเขินอาย ยังคงฮิตตลอดกาล แนะนำให้ปัดบลัชออนก่อนปัดแป้งฝุ่น เพื่อให้ดูแนบเนียน สำหรับช่วงซัมเมอร์ อาจปัดบริเวณจมูกเบาๆเพิ่มด้วย

17. แตะชิมเมอร์สีชมพูอ่อนๆบนรอยหยักของริมฝีปาก หลังจากทาลิปสติกแล้วจะช่วยให้ปากดูได้รูปน่ารักขึ้น แถมถ่ายรูปกับแก๊งเพื่อนออนเดอะบีชแล้วออกมาสวยด้วย

18. จะไปว่ายน้ำทั้งที ไม่่อยากเผยให้เห็นใบหน้าอันหน้าซีดเซียว ให้หาทินท์แต้มริมฝีปากและพวงแก้มให้ดูสดใสแม้จะเปียกน้ำก็ไม่กลัว

19. รันเวย์ซีซั่นนี้สีม่วงมาแรงทั้งเมคอัพและเสื้อผ้า ฉะนั้นตอนกลางวันอาจทาอายแชโดว์สีม่วงไลแลคอ่อนๆดูสบายตา พอกลางคืนค่อยแปลงร่างเป็นสาวมั่น เพียงเติมสีม่วงเข้มบนเปลือกตาแบบสโมกกี้อายส์สุดเลิศ

20. ขนตาปลอมยังคงฮอตอยู่ แต่ขอเป็นแบบช่อเล็กๆมาติดแซมให้ขนตาดูดกหนาขึ้นจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

21. สำหรับบีชปาร์ตี้มันส์ๆ จะติดขนตาปลอมเฉพาะหางตา หรือเล่นสีสันให้แปลกตาก็เก๋มากๆ

22. ลุคเปรี้ยวของฤดูกาลนี้ ต้องริมฝีปากแดงมันวาวเหมือนเคลือบพลาสติก แต่ส่วนอื่นของใบหน้าขอเป็นแบบนู้ดๆจะดีกว่า

23. เก็บลิปไลเนอร์เข้ากรุไปก่อน เพราะช่วงนี้ต้องทาลิปสติกให้เส้นขอบดูฟุ้งๆ เทคนิคอยู่ที่ทาลิปสติกเว้นขอบไว้เล็กน้อย แล้วค่อยใช้พู่กันเกลี่ยสีออกมาให้ใกล้ขอบปาก

24. การเขียนขอบตาล่างของซีซั่นนี้ ยกให้ดินสอสีอ่อนผสมประกายมุกจะดูสบายๆ มากกว่า

25. กรีดอายไลเนอร์ หลังจากลงสีอายแชโดว์อาจดูหนักไป ลองเปลี่ยนเป็นกรีดอายไลเนอร์ก่อนแล้วใช้แปรงแต้มอายแชโดว์สีอ่อนแตะบน เปลือกตาเบาๆ (ทับอายไลเนอร์ได้) ก็ทำให้เส้นอายไลเนอร์ดูซอฟขึ้นและสวยไม่แพ้เทคนิคเดิมๆเลย

26. แค่แสงอุลตร้าไวโอเลต อย่างเดียวก็ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำจะแย่ อย่าซ้ำเติมตัวเองด้วยการปล่อยให้คิ้วรกจนไม่ได้รูป หามีดกันคิ้วหรือแหนบมาถอนออกเสียบ้าง แล้วหามาสคาราปัดคิ้วหรือที่เขียนคิ้วเนื้อฝุ่นสีน้ำตาลอ่อนหรือทองมาปัด ย้อนแนวขนคิ้วก่อน (สีจะได้ติดครบทุกเส้น) แล้วค่อยปัดกลับมาตามรูปเดิมอีกครั้งให้เรียงเส้นสวยงาม ใบหน้าจะดูสว่างขึ้นเยอะ

27. อยากคิ้วโก่งดูเซ็กซี่ อย่าลืมใช้ปลายนิ้วแตะชิมเมอร์เพื่อไฮไลท์โหนกคิ้วให้เด่นชัดและได้รูป

28. ถ้ารู้สึกว่าใบหน้าร้อนจนเหนียวเหนอะหนะ แค่หาสเปรย์น้ำแร่มาฉีดเรียกความสดชื่น แล้วใช้ทิชชู่ซับเบาๆโดยไม่ต้องแต่งหน้าใดๆเพิ่ม

29. ระหว่างวันอย่าลืมสำรวจใบหน้าว่ามันเยิ้มหรือเปล่า เพราะนอกจากดูไม่ดีแล้วความมันยังทำให้เมคอัพที่แต่งมาซีดจางอีกด้วย

30. ไม่ควรละเลยที่จะมองหาเครื่องสำอางผสมสาร SPF แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดดได้เหมือนกัน


สนับสนุนเนื้อหา : สุดสัปดาห์ , sanook


เขียนโดย paphada

ในโลกปัจจุบันนี้ หลายๆคนคงต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การหาหนทางที่จะผ่อนคลายตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน้ต่อร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างมาก บางคนอาจเข้าสปา ไปนวดหน้านวดตัว บางคนไปเที่ยว ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ความลับของการผ่อนคลายที่แท้จริงก็คือ การควบคุมภาวะจิตใจของเรานั้นเอง ถ้าคุณขาดการควบคุมจิตใจแล้ว การเข้าสปาที่ดีที่ การเที่ยวที่ที่สวยที่สุด ก็ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้เลย

เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง

1. ปัจจุบัน คือสิ่งที่สำคัญที่สุ - บ่อยแค่ไหนที่คุณมักจะพบว่าคุณเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนส่วนมากมักจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วการวิตกกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะอยู่ในโลกแห่งอดีตหรืออนาคต คุณก็จะไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย ฉะนั้นถ้าคุณต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริงคุณจะต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราเท่าทันตนเองอยู่เสมอ

2. สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ - ที่ที่คุณอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุณต้องเจอก็ส่งผลต่อจิตใจของคุณเช่นเดียวกัน หลายๆคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยนี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี การอยู่มรบางที่ มันก็ยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายได้ คราวนี้ เริ่มมองไปที่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเห็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้คุณทำโน่นทำนี้ คุณคงต้องลงมือทำอะไสักอย่างกับห้องของคุณแล้ว

เจ้าพวกของที่คอยกวนใจคุณเป็นเหมือนภาระ หนักของจิตใจคุณ จัดการจัดห้องให้เป็นระเบียบและเก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตา หาของประดับห้องให้มีความรื่นรมณ์มากขึ้น คุณอาจยอมเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง หรือเทียนหอมมาจุด ก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นการเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงานของคุณอีกด้วย

3. การทำสมาธิ - ระหว่างที่เรามีสมาธิ จิตของเราจะอยู่ในความเงียบ สงบ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง การทำสมาธิสอนให้เรารู้จักจัดระเบียบของความคิดที่ยุ่งเหยิงของเรา ขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะหยุดนิ่ง ซึ่งนำมาซึ่งความสงบและความเบิกบาน การทำสมาธิจึงเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด คุณลองหาเวลาวันละ 10 - 15 นาทีเพื่อทำสมาธิ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกแห่งความสงบและผ่อนคลายที่แท้จริงเป็นอย่างไร

4. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม - การผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปล่อยกายปล่อบใจอยู่ในสปา หรือบนชายหาดตลอดทั้งวัน เราจะต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายท่านกลางกิจกรรมปกติของเรา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำอย่างเป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้คุณทำงานสบายขึ้น และได้ผลงานที่มากขึ้น ในขณะที่คุญทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ความสบสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึกถึงการผ่อนคลายได้เลย เริ่มทำงานที่สำคัญมากที่สุดและเร่งที่สุดก่อน และวค่อยๆทำงานที่สำคัญลอองลงมา ค่อยๆทำอย่างรอบคอบ อย่ากดดันตัวเองให้ต้องทำงานให้มากที่สุด การทำวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานถูกต้องมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความสบายใจมีมากขึ้น นี่แหละคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ


5. อย่าขึ้นผูกติดกับความคิดเห็นของคนอื่น - บ่อยแค่ไหนที่คุณยึดติดกับความคิดของคนอื่น ตอนที่เรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะพูดอน่างไร นั้นก็คือเราได้สร้างภารทางใจให้กับตัวเอง เพราะลึกๆแล้ว เราพยายามต้องสนองความต้องการของคนอื่นอยู่ เราก็จะกดดันตัวเองและก็จะไม่มีทางที่จะผ่อนคลายเลย คุณรู้ไหมว่า คนอื่นก็มักจะคอยจับผิดเรา เราจะไม่มีทางดีพอสำหรับคนอื่นได้ ดังนั้น จงอย่าผูกติดตัวเองกับคำวิภากษ์วิจารณ์ของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สนใจความคิด เห็นของคนอื่น แต่หมายความว่า เราอย่าาทำให้ตัวเราต้องรู้สึกสนวุ่นวายใจเพียงเพราะความเห็นของคนอื่น เรารับฟังและนำมาคิดด้วยสติอย่างมีเหตุมีผล มันอาจจะทำยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่าคุณยึดติดกับความคิดผู้อื่นน้อยลงเรื่อยๆ


6. ให้เวลากับตัวเอง - แบ่งเวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะว่างตลอด 24 ชั่วดมงเพื่อใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า หรือแม้กระทั่งเพื่อน จงรับโทรศัพท์หรือตอบ email ลูกค้า หรือหัวหน้าในเวลทำงานเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกวนใจ และบั่นทอนพลังกายและใจของคุณ


7. การเปลี่ยนแปลงก็ดีไม่แพ้การพักผ่อน - ชีวิตเราคงไม่ดีแน่ถ้าเหมืนละครที่เล่นซ่ำไปซ่ำมา ถ้าคุณพบว่าคุณติดอยู่ในบ่วงของการทำสิ่งที่จำเจทุกวัน ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้สหล่ะ เช่น ถ้าคุณดูโทรทัศน์หรือท่องอินเตอร์เน็ตหลังอาหารเย็นทุกวัน วันนี้คุณลองเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบหมู่บ้านดูบ้าง การได้ทำสิ่งอะไรใหม่ๆ พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว

การผ่อนคลายง่ายเหมือนแค่การหายใจ
เมื่อใดที่คุณรู้สึกเครียดหรือกดดัน คุณลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ แค่นี้คุณก็จะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ไม่ยาก


ขอบคุณข้อมูล : hbwellness


เขียนโดย paphada

ทุกวันนี้ในโลกออนไลน์หรือการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต มีบทบาทกับชีวิตคนเรามากขึ้น โลกของเราดูแคบลงเพราะมันสามารถเข้าถึงได้เกือบทุกเรื่อง ซึ่งคนที่ใช้้อินเตอร์เน็ตนั้นย่อมรู้ดี โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้สามารถหาเงินเพิ่มรายได้ให้กับคนที่รู้ช่องทางและใช้มัน อย่างเข้าใจ มีหลายคนที่ใช้ Blog ของตัวเองสร้างรายได้ โดยการติดโฆษณาของ Google เราเรียกว่า Adsense (สำหรับ ใครที่ยังงง ๆ ว่ามันคืออะไร ค่อย ๆ ติดตามกันต่อไปนะค่ะ) จึงอยากจะแนะนำขั้นแรกด้วยการมาสร้าง Blog (มีโอกาสสร้างรายได้แต่ต้องขอบอกก่อนว่ามันก็ไม่ง่ายนัก หรือถ้าเรามีความตั้งใจเรียนรู้ก็ไม่ยาก) ด้วยการใช้ โปรแกรม Blogger หรือ Blogspot ของ google (ซึ่งฟรี) มาเริ่มกันเลยดีกว่า......


1. เข้าไปที่ www.blogger.com หรือ www.blogspot.com


2. คลิ๊กตรง สร้างบล็อก หรือก่อนสร้างบล็อกแนะนำให้อ่านหัวข้อ เรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจมาก
ขึ้น (Google ให้คำแนะนำในทุกขั้นตอน ไม่ยากคะโดยเฉพาะทำเป็นภาษาไทยด้วย เปลี่ยนภาษาตรง
มุมบนขวามือ)

3. เริ่มทำตามขั้นตอนเลยค่ะ เริ่มต้นการสร้างบัญชี Google ใส่อีเมล ซึ่งต้องมีอยู่แล้ว แนะนำให้สมัคร
ของ Gmail ไว้ก่อนเลยค่ะ ถ้ามี Gmail อยู่แล้ว ให้เริ่มตรง เข้าสู่ระบบก่อน

4. มาขั้นตอนที่ 2 ตั้งชื่อเว็บบล็อก (เมื่อกดเข้ามาขั้นตอนนี้ ก็กรอกตามช่องที่มีให้มาเลยค่ะ ตั้งชื่อบล็อกตามที่เราต้องการ)

5. สุดท้าย เลือกแม่แบบ (ขั้นตอนนี้เราอยากให้สีสันของบล็อกเป็นอย่างไร ก็เลือกตามใจชอบเลยค่ะ คงไม่ยากเกินไปนะค่ะ ถ้ามีปัญหาก็ลองค่อย ๆ อ่านตามคำแนะนำของ Google)

6. ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เราก็จะได้บล็อกเป็นของตนเองแล้วค่ะ (สวยสมใจหรือเปล่าค่ะ)

7. เริ่มต้นใช้งาน โดยเข้า เว็บไซต์ blogger.com ลงชื่อ ด้วย อีเมล และรหัสผ่าน

หลังจากได้บล็อกเปลือย ๆ มาแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการตกแต่ง ใส่เนื้อหา ซึ่งอาจเป็นขั้นตอนที่ยากสำหรับหลาย ๆ คน เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาใส่ มาเขียนดี ค่อย ๆ คิดละกันค่ะ เอาแบบที่ตนเองถนัด มีความรู้ความเข้าในสิ่งนั้น ๆ จะดีที่สุด เพราะไม่ต้องไปหาความรู้ที่ไหน มันมีอยู่ในตัวของเราเอง บล็อกจะน่าใจก็ต่อเมื่อคนเข้ามาอ่านรู้สึกได้ประโยชน์ เมื่อได้แนวทางการทำบล็อกแล้ว ก็ลงมือลุยเลยค่ะ ทำตามเมนูที่บล็อกให้มา เมนูหลัก ๆ ก็คือ การส่งบทความ การตั้งค่า รูปแบบ ในแต่ละเมนูหลักก็จะมีเมนูย่อย

หวังว่าคงไม่ยากเกินไปนะค่ะ ถ้ามีปัญหาข้อสงสัยถามมาได้ค่ะ ในโอกาสหน้าจะแนะนำแม่แบบ theme (ธีม) สวย ๆ สำหรับคนขี้เบื่อ ที่ไม่พอใจกับสิ่งที่ blog ให้มา ซึ่งตัวเองทำอยู่นานกว่าจะเข้าใจ (เพราะทำไปเรียนรู้ไป แต่ก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก หุหุ) เลยอยากให้เพื่อน ๆ ที่เริ่มต้นทำ Blog ทำตามได้ง่ายขึ้น (หวังว่าคงเป็นอย่างนั้น)


เขียนโดย paphada วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552


ผู้หญิงจะรู้สึกเกรงกลัวแสงแดด เพราะรู้ดีว่าแสงแดดเป็นตัวการทำลายความงาม แถวหน้า ทำให้ผิว หมองคล้ำ เหี่ยวย่น รวมไปถึงฝ้ากระอีกสารพัน หากแต่หารู้ไม่ว่า

การหลีกเลี่ยงแสงแดดมากเกินไป มีผลให้ร่างกายเกิดสภาวะโรคกระดูกพรุนได้ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่ไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก กว่าจะรู้กระดูกก็เปราะบางไปเสียแล้วจึงอยากให้คิดใหม่ กลับมาตระหนักถึงประโยชน์ของแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์ วิตามินดี ที่ มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินดี ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของแคลเซียม ทำให้กระดูกและฟันสมบูรณ์แข็งแรง

การสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้า เพียง 10 -15 นาทีต่อวัน ก็เพียงพอที่จะช่วยให้ไม่เป็นโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนนั้น สาวๆ รุ่นใหม่ มีอัตราเป็นโรคนี้กันมากขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีพฤติกรรมความเป็นอยู่ที่เสี่ยงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การบริโภคอาหารไม่ครบถ้วน หรือละเลยการออกกำลังกาย ส่งผลให้ร่างกายไม่มีการสะสมแคลเซียมเพิ่มเติม แคลเซียมในกระดูกที่มีอยู่ ก็เสื่อมสลายตัวไปเรื่อยๆ จนทำให้โครงสร้างกระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย
ผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนสูงกว่าผู้ชายหลายเท่า เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่แตกต่างกัน
ภาวะที่เนื้อกระดูกบางลง ทำให้ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน มักมีอาการปวดหลัง หลังค่อมโก่ง ปวดตามข้อ อาจมีอาการปวดบริเวณที่กระดูกยุบตัวลง กระดูกเปราะ และหักง่าย ผู้สูงอายุจึงต้องระวังการหกล้ม ตำแหน่งที่มักจะเกิดภาวะกระดูกพรุนและหักง่ายคือ กระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก
กระดูกสันหลังของผู้หญิงอายุ 55 - 75 ปี จะเกิดการยุบตัวมากกว่าในผู้ชาย ทำให้ผู้สูงอายุเตี้ยลงกว่าตอนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงพบว่า เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี พบอัตราการเกิดกระดูกสันหลังหักยุบถึงร้อยละ 30
กระดูกสะโพกหักมักต้องผ่าตัดรักษา กระดูกสะโพกหักอาจทำให้เดินไม่ได้หรือเสียชีวิตได้ โรคนี้เปรียบเหมือนภัยมืด ค่อยเป็นไปอย่างช้าๆ โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ กว่าจะรู้ตัวก็กระดูกหักเสียแล้ว
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องสะสมกระดูกไว้ให้มากที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย โดยรับประทานอาหารที่มีคุณค่าให้แคลเซียมสูงและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสะสมแคลเซียมให้กับกระดูกอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นจากการรับประทานอาหาร ที่มีแคลเซียมสูง อาทิ ถั่วเหลือง ผักใบเขียว ปลาเล็กปลาน้อยต่างๆ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีไปช่วยเสริมสร้างแคลเซียม
นอกจากนี้ ไม่ควรห่วงอ้วนมากจนเกินไป ต้องรับประทานไขมันบ้าง จำพวกไขมันชนิดดีที่พบในปลาทะเล หรือน้ำมันจากเมล็ดพืช เพราะวิตามินดีจะละลายได้ดีในไขมัน เหล่านี้นอกจากจะช่วยละลายวิตามินดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่นไม่หยาบกระด้างอีกด้วย ถ้าต้องการความสะดวก การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยเสริมแคลเซียมให้กับกระดูกก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ถ้าใครต้องการรู้ว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่ ต้องอาศัยเครื่องตรวจความหนาแน่นกระดูกเข้ามาช่วย โดยการทำงานของเครื่องจะเอ็กซ์เรย์มวลกระดูกบริเวณ ข้อมือ หรือ ข้อเท้า แล้วประมวลผลออกมาเป็นกราฟ ชึ้ให้เห็นสภาวะของกระดูกได้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีบริการอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ และมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
หากแต่ในช่วงนี้ไปจนถึงสิ้นปี บริษัท เฮลธ์ อิมแพค จำกัด ได้นำเข้าเครื่องตรวจความหนาแน่นกระดูก มาบริการตรวจให้แก่ประชาชนทั่วไปฟรี ทั้งใน โรงพยาบาลชั้นนำ และร้านขายยาทั่วประเทศ ผู้สนใจใช้บริการตรวจมวลกระดูก สามารถสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ 02-8604561 ระหว่างเวลาทำการ ในวันจันทร์ - ศุกร์ เพื่อจะได้ตรวจสอบสุขภาพกระดูกเบื้องต้น ว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องรับแสงแดด และเสริมแคลเซียมให้กับกระดูก ก่อนที่จะสายเกินไป
สนับสนุน โดย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ


บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ
30 เคล็ด(ไม่)ลับการแต่งหน้า

เขียนโดย paphada

Subscribe here